คล็อปป์ นั้นสลับสับเปลี่ยนผู้เล่นอยู่หลายตำแหน่งทีเดียวครับ นักเตะชุดสำรองหลายๆ คนได้รับโอกาสให้ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมนี้ไม่ว่าจะเป็น มินามิโนะ , ดิว๊อก โอริกี้ , เนโก วิลเลี่ยมส์ และอเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ก็สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนลงแทนนักเตะตัวหลักที่กรำศึกมานาน  ส่วนทางด้านทีมเยือนนิวคาสเซิ่ลที่ไม่มีลุ้นอะไรกับเขาแล้วก็จัดสลับสับเปลี่ยนนักเตะหลายคนมาเล่นในเกมนี้ด้วยเช่นกัน และแทบทุกครั้งที่เจอร์เก้น คล็อปป์จัดตัวชุดสำรองลงแบบนี้ก็มักจะมีปัญหาไปเสียทุกที เกมนี้ก็เช่นกัน เมื่อลิเวอร์พูลไปเสียฟาวล์ที่กลางสนามแล้วไปเปิดช่องให้นิวคาสเซิ่ลเล่นฟรีคิกเร็วในจังหวะนี้ แม้ไวนัลดุ้มจะพยายามถ่วงจังหวะไปแล้ว แต่เชลวี่ก็ตาไวพอที่จะเห็นว่า ดไวท์ เกลนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบเลยตักบอลเร็วไปให้และทำให้เขาเกลนั้นหลุดไปยิงจ่อๆ ให้นิวคาสเซิ่ลขึ้นนำอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ โดยปกติแล้วจังหวะดังกล่าวถ้าเป็นแผงกองหลังที่เล่นด้วยกันมานานๆ จนเข้าขารู้ใจ จังหวะนี้น่าจะเป็นจังหวะที่เกลถูกกับดักล้ำหน้าเล่นงานแน่ๆ แต่พอเป็นหน้าใหม่อย่างเนโก วิลเลี่ยมลงมาแบบนี้ทำให้บางจังหวะเขายังไม่ทันจังหวะกับพี่ๆ เท่าไร กลายเป็นว่าลิเวอร์พูลนั้นเสียเปรียบตั้งแต่ต้นเกม และจากเกมที่ไม่น่าจะมีอะไรให้ลุ้น ก็กลายเป็นเกมที่ลิเวอร์พูลนั้นต้องจริงจังและเล่นเต็มที่ตั้งแต่นาทีแรกเลยทีเดียว  ฤดูกาลนี้นั้นแม้ คล็อปป์ จะพลาดทำลายสถิติสวยๆ ไปหลายอย่าง แต่ 1 ในสถิติที่พวกเขาทำลายได้นั้นคือ สถิติที่สามารถทำได้ 99 แต้ม ที่มากที่สุดตั้งแต่พวกเขาลงแข่งพรีเมียร์ลีกมาเลยทีเดียว ดังคำวลีสุดเท่ที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือชนะตัวเอง” ซึ่งสิ่งนี้พวกเขาทำมันได้สำเร็จอย่างสวยงาม แม้จะมีคำครหาว่าพวกเขาควรจะทำมันได้ดีกว่านี้ และที่พวกเขาได้แชมป์เพราะทีมอื่นผลงานตกลงต่างหาก แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลยังไงก็ตาม สุดท้ายแล้วแชมป์ก็คือ ลิเวอร์พูลอยู่ดี และไม่ว่าจะยังไงก็ตามฤดูกาลนี้ของลิเวอร์พูลนั้น ก็ถือว่ายอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่สุดยอดจริงๆ พวกเขาคว้าแชมป์เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ถ้าเทียบกันเป็นจำนวนนัด พวกเขาทำลายสถิติการทำแต้มสูงสุดของตัวเองได้สำเร็จ และสุดท้าย…..พวกเขาสามารถทำลายการรอคอยอันยาวนานของบรรดาเดอะ ค๊อปกว่า 30 ปี โดยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก