โซลชา กำลัง มีผลงานที่ดี


Tuesday 21st July 2020
โซลชา นั้นต้องทำการแก้ไขทีมของเขาขึ้นมาใหม่หลายๆจุดในซีซั่นนี้ หลังจากที่ปอล ป็อกบา มิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกมบาดเจ็บไปในเดือนสิงหาคม โซลชาจึงสร้างการเล่นเกมรุกโดยมีมาร์คัส แรชฟอร์ดเป็นแกนหลักของเกมcounter attacking และเนื่องจากทีมมีจุดบอดในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก ทำให้ยูไนเต็ดต้องเจอปัญหาเจาะคู่แข่งไม่เข้า โอเล่ที่มีตัวอย่างมาจากเจอร์เก้น คล็อปป์จึงเพิ่มการสร้างสรรค์ของเกมด้วยนักเตะตำแหน่งฟูลแบ็คของเขา
ขณะนี้โซลชาได้ทีมหลักกลับมาเต็มตัวแล้ว มิดฟิลด์ศูนย์กลางทีมก็กลับมาเรียบร้อย ในขณะที่แรชฟอร์ดฟิตปั๋งเหมือนเดิม อีกทั้งบรูโน่ แฟร์นันด์ส ก็เข้ามาเป็น “Real No.10” ให้ทีมได้สำเร็จ ดังนั้นจึงเป็นงานของโอเล่ว่า เขาจะหลอมรวมส่วนต่างๆเหล่านี้เข้าด้วยกันได้ยังไง
เขาคงจะมองไปยังชิ้นงานของเป๊ป กวาดิโอลาร์ อย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อซิตี้เซ็ตอัพทีมเอาไว้เช่นนี้ ในการครองบอลโดยมิดฟิลด์ตัวรุกอย่างเดอบรอยน์กับซิลบานั้นก็จะดันขึ้นหน้าไปอยู่ในฟอร์มของ “Front Five” หรือ “หน้าห้าตัว” นั่นเอง โดยแนวรับเองก็จะขึ้นตามไปด้วยในทิศทางเดียวกัน โดยไคล์ วอล์คเกอร์จะหุบเข้าไปเล่นเซ็นเตอร์แบ็คตัวขวา ส่วนทางแบ็คซ้ายก็จะดันขึ้นไปอยู่บริเวณ มิดฟิลด์กราบซ้าย แล้วรองบอลทำหน้าที่เป็นตัวโฮลดิ้งมิดฟิลด์คนที่สองแทน (ถัดจากตัวจริงที่มีอยู่คนเดียวในสนามอย่างเช่นโรดรี้ เป็นต้น)
นี่คือเหตุผลหลักที่ทำไมแกเรธ เซาท์เกทนั้นถึงได้นำเอาฟาเบียง เดลป์ไปฟุตบอลโลก2018ด้วยในฐานะผู้เล่นมิดฟิลด์ แล้วดึงเอาไคล์ วอล์คเกอร์ไปในตำแหน่งแบ็คขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งทั่วๆไปของพวกเขาตอนที่เล่นให้ในเกมสโมสร
ด้านโซลชานั้นชอบที่จะให้ลูกทีมเล่นสูตร 4-2-3-1 ในแผนการเล่น แต่เกมกับไบรท์ตันที่ผ่านมานั้นโอเล่เปิดตำราการเล่นของเป๊ปและขยับสูตรขึ้นไปเป็น “3-2-5″ ในยามที่เป็นฝ่ายครองบอล
ซึ่งสิ่งนี้มันก็ไม่ได้ถึงกับเหมือนกันเป๊ะทุกกระเบียดนิ้วเลยกับการเซ็ตอัพของกวาร์ดิโอล่าขนาดนั้น ซึ่งเป๊ปนั้นจะใช้สามตัวหลังเป็นนักเตะกองหลังล้วนๆ ส่วนยูไนเต็ดนั้นใช้”เนมันย่า มาติช” ในการดร็อปแบ็คลงไประนาบเดียวกับคู่สองเซ็นเตอร์ ในฟอร์มของหลังสาม
จากตรงนั้นขึ้นมา ในส่วนของอารอน วานบิสซาก้าก็จะดันสูงขึ้นหน้าไป และลุค ชอว์ก็ต้องทำถึงสองอย่างด้วยตัวคนเดียวนั่นก็คือ เขาอาจจะหุบเข้าตรงกลางมากขึ้น และก็เล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรองจากปอล ป็อกบา (เล่นในตำแหน่งยืนของเขา)
ชอว์นั้นเล่นได้อย่างอิสระมากจริงๆในหน้าที่ของเขาตำแหน่งนี้ที่ทั้งขึ้นสุดลงสุดในสนาม เวลาที่เห็นเขาดันขึ้นหน้าอย่างรวดเร็วจะเห็นว่าแมนยูไนเต็ดก็จะใช้วิธีดึงช้าไว้นิดนึงเพื่อรอให้ชอว์วิ่งเข้าพื้นที่สังหารนั่นเอง
ชัดเจนมากๆว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่พูดถึงเรื่องที่ชอว์เติมเกมขึ้นหน้านั้น มันมักจะมีแฟนบอลที่ยังคิดว่า นี่คือ “ชอว์ยุคของมูรินโญ่” และยังมักจะกังวลกับเรื่องที่ว่าแบ็คซ้ายมักจะหลุดตำแหน่งเสมอเวลาที่แมนยูเสียบอล ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เวลาเจอแบบนั้นเราจะใช้มาติชให้ถอยลงต่ำไปยืนคัฟเวอร์พื้นที่ในระนาบหลังสามทดแทนชอว์ได้อยู่เวลาที่แบ็คเติมไปเล่นปีก ประเด็นนี้จึงไม่ค่อยเป็นปัญหาของทีมเท่าไหร่นัก
มีบางส่วนของสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมกับเชฟฟิลด์เอามาถูกใช้ในเกมที่ว่านี้ คือการวิ่งในพื้นที่ฝั่งซ้ายที่จะเห็นชอว์วิ่งแซงแรชฟอร์ดขึ้นหน้าไป สองนักเตะนี้สลับตำแหน่งกันและกันเรื่อยๆโดยที่พอจบเกมมีจำนวนการแทงบอลขึ้นหน้าของแต่ละคนก็คือ ชอว์1ครั้งและ แรชฟอร์ด10ครั้ง เรียกง่ายๆว่าแรชแทงให้ชอว์วิ่งตลอด ซึ่งมันแปลกประหลาดมากเพราะปกติมิดฟิลด์กับฟูลแบ็คจะมีจำนวนครั้งตรงนี้มากที่สุด (ป็อกบามาอันดับ2ที่จำนวน8ครั้ง นอกนั้นไม่มีใครเยอะเกิน4) เป็นเพราะว่าเขาคือคนที่จ่ายบอลขึน้หน้ามากที่สุด ส่วนพวกตัวรุกแนวหน้าปกติจะไม่ค่อยมีจำนวนตรงนี้เยอะอยู่แล้วเพราะว่ามันไม่เหลือพื้นที่ให้เขาเล่นสักเท่าไหร่เวลาได้บอล (ตามค่าเฉลี่ยคือ แรช 4.01 ส่วนชอว์ 7.12 ครั้งต่อ90นาที)
แต่ภายใต้ยุคของ โซลชา มาติชนั้นเล่นอย่างมั่นใจกว่าเดิม และในประตูที่สามที่เป็นลูกสวนกลับนั้นก็เป็นแบบแผนที่ทีมกำลังเล่นตอบสนองวิธีการของผู้จัดการทีมอยู่
ซึ่งรายของมาติชที่มักจะถูกตำหนิและวิพากษ์ในเรื่องที่ชอบเล่นบอลเซฟๆอย่างเดียว และเมสัน กรีนวู้ดที่ยังไม่สามารถขึ้นมาแย่งตำแหน่งตัวจริงได้ในช่วงต้นๆนั้น กลับกันเลย ในเกมนั้นไบรท์ตันต้องการจะเปิดบอลเข้ากรอบแมนยูและแมกไกวร์ก็เอาชนะลูกโหม่งแบบหมดจดจนทำให้บอลมาตกที่มาติช และกรีนวู้ดที่กำลังรอสวนอยู่ตามลำดับ
สำหรับมาติชนั้น สัญชาตญาณการเล่นของเขานั้นไม่ต้องคอยที่จะใช้การ “มองหา” แต่อย่างใด เขาเหลือบเห็นกรีนวู้ดเริ่มวิ่งสวน และก็เปิดบอลโคตรเพอร์เฟ็คต์จ่ายขึ้นมาในพื้นที่ว่าง
และนักเตะคนอื่นในช็อตนี้ก็สร้างเพลย์ที่สุดยอดขึ้นมาร่วมกันได้สำเร็จ
Posted by admin