ค้นหาและรับมือกับความวิตกกังวลเรื่องสุขภาพอย่างไรดี

ธ.ค., 26 2023

จุดเริ่มต้นของการรับรู้ถึงความวิตกกังวลเรื่องสุขภาพ

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ เรามาคุยกันเรื่องนี้นะคะ มันอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ ที่หลายคนมองข้าม แต่เชื่อเถอะว่ามันสามารถกลายเป็นม้านั่งทรมานที่ทำให้ใจเราลอยไปกับคลื่นแห่งความกังวลได้ตลอดเวลาเลยล่ะ พูดถึงประสบการณ์ของปริยาตัวเองนะคะ มีครั้งหนึ่งที่รู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะ เลยทำให้วิตกกังวลจนนอนไม่หลับ คิดไปคิดมาว่าตัวเองคงป่วยหนักมากแน่ๆ เรื่องราวก็บานปลายเป็นการดูหมอรักษาจิตใจให้หายจากความวิตกกังวล แทนที่จะไปยังห้องฉุกเฉินที่ตอนแรกคิดไว้ แต่ละบุคคลมีสัญญาณเตือนที่แตกต่างกัน บางคนอาจมีอาการเหม่อลอยหรือกังวลมากจนมีผลต่อการทำงานประจำวัน บางคนก็อาจรู้สึกเร็วหายใจ หรือหัวใจเต้นเร็ว ง่ายๆ คือมันทำให้เราหลงเชื่อว่ามีอะไรโน้มน้าวให้ร่างกายเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีอยู่ตลอดเวลา

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเอง

ขอบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเลยค่ะ ที่จะกังวลเกี่ยวกับสุขภาพตัวเอง ในยุคสมัยที่ข้อมูลเข้าถึงได้ง่าย แค่เปิดโซเชียลมีเดียหรือกดเข้าเว็บไซต์ ก็เจอข่าวคราวเกี่ยวกับโรคภัยต่างๆ ทำนองนั้น มันส่งผลให้เราเกิดความกังวลตลอดเวลาได้ และนั่นกลายเป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนรู้สึกเหมือนอยู่ในภาวะเตือนภัยอยู่ตลอด ก่อนที่จะรู้ว่าการกังวลเกินไปนั้นไม่ใช่เรื่องจะช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพได้ กลับกัน มักเพิ่มความเครียดจนทำให้สุขภาพแย่ลงอีกต่างหากค่ะ บางคนบางทีอาจไปถึงขั้นวินิจฉัยโรคให้ตัวเองโดยไม่ต้องผ่านหมอซะด้วยอย่างนั้น

อาการที่บ่งชี้ว่าคุณอาจกำลังมีความวิตกกังวลเรื่องสุขภาพ

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ ว่าอาการที่เป็นอยู่นั้นเป็นเพราะวิตกกังวลเรื่องสุขภาพ? ถ้าหากคุณเริ่มที่จะเช็คอาการตัวเองบ่อยๆ หรือประจำ เช่น เช็คอุณหภูมิร่างกาย วัดความดัน ตรวจสอบจังหวะหัวใจบ่อยครั้ง หรืออ่านข้อมูลเกี่ยวกับโรคต่างๆ จนเป็นอย่างใหญ่ในชีวิตประจำวัน ก็อาจบ่งบอกว่าคุณกำลังมีความวิตก อีกหนกรณีคือถ้าคุณพบว่าตัวเองไม่สามารถอยู่สงบๆ ที่ไม่คิดถึงอาการป่วยหรือโรคร้ายที่คุณอาจจะเป็นได้ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ชี้ชัด ก็พอจะเรียกได้ว่านี่คือ 'สัญญาณเตือน' แล้วค่ะ

การมุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพที่มากเกินไป

การเอาใจใส่กับสุขภาพของตัวเองมากเกินไป เช่น ไปดูหมอบ่อยครั้งมากกว่าที่จำเป็น เป็นอีกสัญญาณค่ะ หรือบางทีเราอาจจะคอยตรวจสอบอาการตัวเองตลอดเวลา จนหมอที่ดูแลเราเริ่มแนะนำให้ไปพบจิตแพทย์แทนที่จะรักษาตามอาการที่เราบอกไปซะอีก แล้วถ้าหากมีใครตั้งข้อสังเกตว่าเรากังวลเกินไป แล้วเรากลายเป็นคนที่รู้สึกว่าคนนั้นไม่เข้าใจหรือไม่แคร์เราซะงั้น นั่นก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าเราอาจจะกำลังสร้างกำแพงรอบตัวเองโดยใช้ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพเป็นวัตถุดิบค่ะ

การรับมือกับความวิตกกังวลเรื่องสุขภาพ

เมื่อรู้ตัวว่าความวิตกกังวลเรื่องสุขภาพเป็นสิ่งที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวัน เป็นเหตุให้ทุกข์ใจแล้ว การรับมือกับมันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ วิธีหนึ่งที่ปริยาทำค่ะ ก็คือการรู้จักวางแผนชีวิตประจำวันให้มีกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อไม่ให้จิตใจถูกครอบงำด้วยความกังวล การแสดงออกทางอารมณ์ เช่น หัวเราะ ร้องไห้ตามความจริงใจ เมื่อต้องการก็เป็นเรื่องดี ออกกำลังกายก็ช่วยได้ เพราะมันส่งผลให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น และยิ่งเรารู้วิธีคุมความคิดและไม่ให้มันล่องลอยไปบนคลื่นแห่งความกังวล ก็ยิ่งทำให้ชีวิตค่อยๆ ปรับสมดุลได้ดีค่ะ

กระชับสัมพันธ์กับปัจจุบัน เพื่อจัดการกับความวิตกกังวล

การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ด้วยการกระชับสัมพันธ์กับปัจจุบันยังเป็นปัจจัยสำคัญ เทคนิคการทำสมาธิช่วยให้เรารู้สึกสงบและลดความกังวลได้นะคะ เมื่อปริยาลองทำสมาธิ มันช่วยให้เรารับรู้ถึงลมหายใจ สังเกตการณ์ความคิด และค่อยๆ เรียนรู้ที่จะปล่อยวางแทนที่จะบีบคั้นจิตใจด้วยความกังวล การทำสมาธิไม่ได้ช่วยแค่เพียงในช่วงที่ทำเท่านั้นแต่ยังทำให้เราปรับปรุงการตอบสนองต่อความเครียดในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าหากวิธีข้างต้นไม่ได้ผล ก็ควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

แต่ถ้าหากรู้สึกว่าได้ลองทำทุกวิธีแล้วแต่ความวิตกกังวลก็ยังคงอยู่ ก็ถึงเวลาที่ควรจะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญแล้วค่ะ ไม่ต้องรู้สึกละอายหรือเขินอายที่จะไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา อาจารย์สำหรับปริยาบางท่านก็เป็นทั้งแพทย์และเพื่อนคู่คิดไปพ